หลักการทำงานของ Moving Die Rheometer (MDR)


Moving Die Rheometer (MDR) คือเครื่องมือทดสอบในการวัดคุณสมบัติการไหลของโพลิเมอร์และยาง ที่อุณหภูมิและความดันที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะเมื่อเผากับความร้อน มักถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมยาง เพื่อประเมินคุณภาพของยางและโพลิเมอร์ต่างๆ


หลักการทำงานของ MDR คือ:

  1. การจัดเตรียมตัวอย่าง: ตัวอย่างยางหรือโพลิเมอร์ จะถูกวางระหว่างแผ่นโลหะสองแผ่น ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ
  2. การควบคุมอุณหภูมิ: ระบบทำความร้อนจะเริ่มทำให้ตัวอย่าง เผาถึงอุณหภูมิที่กำหนด
  3. การใช้แรงบีบอัด: แผ่นโลหะบน จะบีบอัดตัวอย่างให้เป็นแผ่นบาง
  4. การหมุนแผ่น: เมื่อตัวอย่างถึงอุณหภูมิที่กำหนด แผ่นโลหะล่าง (หรือ moving die) จะหมุนตามรูปแบบที่กำหนด ในขณะที่แผ่นโลหะบนคงที่
  5. การวัดการต้านทาน: ตัวอย่างยางหรือโพลิเมอร์ จะต้านการเคลื่อนที่ของ moving die ความต้านทานนี้ (ที่เรียกว่า torque หรือ แรงบิด) จะถูกวัดและบันทึก
  6. การบันทึกข้อมูล: ข้อมูลที่ได้ จะบันทึกในรูปของกราฟ ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง torque และเวลา ซึ่งเรียกว่า cure curve

ผลของการทดสอบด้วย MDR สามารถใช้ประเมิน:

  • เวลาที่ต้องการในการรักษายาง (cure time)
  • แรงบิดสูงสุด (maximum torque) ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแรงของยาง หลังจากการทดสอบ
  • แรงบิดต่ำสุด (minimum torque) ซึ่งสะท้อนถึงความนิ่มของยาง ก่อนการทดสอบ
    การวัดคุณสมบัติดังกล่าวจะช่วยในการประเมินคุณภาพการประสานสูตรยาง และระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับยางและผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ต่างๆ

ประโยชน์และข้อจำกัดของ MDR


Moving Die Rheometer (MDR) มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการทดสอบคุณสมบัติการไหลของยาง และบางส่วนของโพลิเมอร์ ดังนั้นจะมีประโยชน์และข้อจำกัดที่ควรรู้:


ประโยชน์ของ MDR:

  1. ความถูกต้องและทำซ้ำได้: MDR ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถทำซ้ำได้ ซึ่งทำให้เป็นเครื่องมือที่มีความน่าเชื่อถือในการประเมินคุณภาพยาง
  2. การแสดงผลที่เร็ว: MDR สามารถให้ผลการทดสอบในเวลาที่เร็ว เช่น ภายในไม่กี่นาที
  3. การทดสอบแบบไม่ทำลาย: ในการทดสอบส่วนใหญ่ MDR ไม่ทำลายตัวอย่าง
  4. ความสามารถในการทดสอบทั้งยางดิบและยางผสม: MDR สามารถใช้ทดสอบทั้งยางดิบ และยางที่มีการผสมส่วนประกอบต่างๆ ได้
  5. ข้อมูลที่ครอบคลุม: นอกจากการวัดแรงบิด MDR ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลา ความแข็งแรงของยาง และข้อมูลอื่นๆ ที่ต้องการ
    ข้อจำกัดของ MDR:
  6. มีราคาสูง: ราคาซื้อเริ่มต้นของ MDR อาจจะสูง แต่เมื่อเทียบกับข้อมูลที่ได้ การลงทุนมีความคุ้มค่า
  7. การประยุกต์ใช้ที่จำกัด: MDR สามารถใช้วัดคุณสมบัติการไหลของยาง และบางส่วนของโพลิเมอร์เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับวัสดุอื่นที่มีคุณสมบัติแตกต่างออกไป
  8. การฝึกอบรมการใช้งาน: เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานและความถูกต้อง ผู้ใช้งาน MDR ต้องได้รับการฝึกอบรมการใช้งาน
  9. การพัฒนาเทคโนโลยี: เทคโนโลยี MDR มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาจมีเครื่องมือใหม่ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าหรือทดแทน MDR ในบางความต้องการ
    ดังนั้น ในการเลือกใช้ MDR ควรพิจารณาทั้งประโยชน์และข้อจำกัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสม ตามความต้องการ

เทคนิคการวัดด้วย MDR แบบต่างๆ


Moving Die Rheometer (MDR) ใช้ในการวัดคุณสมบัติการไหลของยางและโพลิเมอร์ ในสภาวะการเผากับความร้อน ดังนั้นมีเทคนิคการวัดที่สามารถปรับใช้ตามความต้องการของการทดสอบ:

  1. การทดสอบสำหรับเวลาการทดสอบ (Cure Time Test): เป็นการวัดเวลาที่ยางต้องการในการทดสอบ ไปจนถึงการบิดสูงสุด (Max Torque) และใช้ในการประเมินความเร็วในการทดสอบของยาง
  2. การทดสอบแรงบิด (Cure Rheometry Test): วัดการเปลี่ยนแปลงของแรงบิดขณะที่ยางมีการทดสอบ ซึ่งจะให้กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงบิดและเวลา และสามารถใช้ประเมินแรงบิดต่ำสุดและแรงบิดสูงสุ
  3. การทดสอบการดัดแปลง (Strain Sweep): เป็นการวัดความสัมพันธ์ระหว่างการดัดแปลง (strain) และแรงบิด โดยปกติใช้ในการประเมินการต้านทานของโพลิเมอร์ต่อการดัดแปลง
  4. การทดสอบความถี่ (Frequency Sweep): วัดการตอบสนองของยางหรือโพลิเมอร์ที่ความถี่ต่างๆ โดยสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับความยืดหยุ่น และความต้านทานต่อการแปรปรวน
  5. การทดสอบอุณหภูมิ (Temperature Sweep): โดยทำการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิขณะวัดการต้านทานของโพลิเมอร์หรือยาง เพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ และคุณสมบัติการไหล
    เทคนิคการวัดด้วย MDR ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนและอาจมีเทคนิคการวัดอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้น เพื่อใช้ในการวิเคราะห์คุณสมบัติการไหลของยางและโพลิเมอร์ตามความต้องการเฉพาะ

การประยุกต์ใช้ MDR ในการวิจัยยางธรรมชาติ


Moving Die Rheometer (MDR) เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากสำหรับการวิจัย และพัฒนายางธรรมชาติเนื่องจากสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติการไหลของยางธรรมชาติในสภาวะต่างๆ การประยุกต์ใช้ MDR ในการวิจัยยางธรรมชาติมีดังนี้:

  1. การประเมินความเร็วในการทดสอบ: MDR ช่วยในการวัดเวลาการทดสอบของยางธรรมชาติ เมื่อมีการเติมสารเร่งการทดสอบ หรือสารเติมต่างๆ เพื่อปรับคุณสมบัติ
  2. การวิเคราะห์กระบวนการทดสอบ: การวัดแรงบิดในขณะที่ยางทดสอบ สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการทดสอบที่เกิดขึ้นในยางธรรมชาติ เช่น การสะสมของโพลิเมอร์, การเชื่อมข้าม (cross-linking) และการจับตัวของโมเลกุล
  3. การประเมินผลกระทบของสารเติมประมาณ: ผ่าน MDR, สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติการไหลของยางธรรมชาติและสารเติมต่าง ๆ เช่น น้ำมัน, เคมีภัณฑ์, และสารเติมเต็ม
  4. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอุณหภูมิ: การวัดการตอบสนองของยางธรรมชาติที่อุณหภูมิต่างๆ สามารถช่วยในการเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติตามอุณหภูมิ
  1. การประเมินผลกระทบของการประมวล: โดยใช้ MDR สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการประมวลยางธรรมชาติและคุณสมบัติการไหล
  2. การวิจัยการพัฒนาสูตรยางใหม่: MDR เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการทดลอง และประเมินสูตรยางใหม่ที่มีคุณสมบัติที่ต้องการ
    การประยุกต์ใช้ MDR ในการวิจัยยางธรรมชาติ เป็นวิธีที่ช่วยในการเข้าใจ และพัฒนายางธรรมชาติให้มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น